2-6. 2 + บรอมไทมอลบลู เป็นสารละลายสีเหลืองซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน เมื่อใช้ทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารละลายที่มีค่า pH อยู่ระหว่าง 6. 0-7. 6 + ฟีนอลเรด เป็นสารละลายสีเหลืองซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อใช้ทดสอบความเป็นกรด-เบสของสารละลายที่มีค่า pH อยู่ระหว่าง 6. 8-8. 4 ตารางแสดงช่วงการเปลี่ยนสีของอินดิเตอร์เตอร์บางชนิด อินดิเคเตอร์ ช่วง pH ที่เปลี่ยนสี สีที่เปลี่ยน เมทิลออเรนจ์ เมทิลเรด ลิตมัส บรอมไทมอลบลู ฟีนอลเรด ฟีนอล์ฟทาลีน 3. 1-4. 4 4. 3 5. 0-8. 0 6. 6 6. 4 8. 0 แดง-เหลือง แดง-เหลือง แดง-น้ำเงิน เหลือง-น้ำเงิน เหลือง-แดง ไม่มีสี-ชมพูเข้ม การแปรความหมาย เช่น 1) เมทิลเรด ช่วง pH ที่เปลี่ยนสี คือ 4. 3 สีที่เปลี่ยน คือ แดง-เหลือง หมายถึง ถ้าสารละลายมี pH ต่ำกว่า 4. 2 จะมีสีแดง ถ้าสารละลายมี pH ช่วง 4. 3 จะมีสีส้ม (สีผสมของสีแดงกับสีเหลือง) ถ้าสารละลายมี pH มากกว่า 6. 3 จะมีสีเหลือง สรุป 2) ฟีนอล์ฟทาลีน ช่วง pH ที่เปลี่ยนสี คือ 8. 3- 10. 0 สีที่เปลี่ยน คือ ไม่มีสี-ชมพู หมายถึง ถ้าสารละลายมี pH ต่ำกว่า 8. 3 จะไม่มีสี ถ้าสารละลายมี pH อยู่ในช่วง 8. 0 จะมีสีชมพูอ่อน (ไม่มีสีผสมกับสีชมพู) ถ้าสารละลายมี pH มากกว่า 10.
ถ้าสาร X มีสมบัติเป็นกลาง จะมีค่า pH เท่าไร ก. น้อยกว่า 7 ข. มากกว่า 7 ค. เท่ากับ 7 ง. ระหว่าง 5-6 6. ข้อใดไม่ใช่สมบัติของกรด ก. มีรสฝาด ข. ทำปฏิกิริยากับโลหะได้แก๊สไฮโดรเจน ค. ทำปฏิกิริยากับไขมันได้สบู่ ง. เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากสีน้ำเงินเป็นสีแดง 7. สารในข้อใดไม่จัดเป็นเบส ก. โซดาซักผ้า ข. น้ำยาล้างห้องน้ำ ค. ผงฟู ง. น้ำอัดลม 8. อินดิเคเตอร์ชนิดใดสามารถนำมาตรวจสอบความเป็นเบสได้ ก. กระดาษลิตมัส ข. กระดาษขมิ้น ค. ดอกอัญชัน ง. สารละลายฟีนอล์ฟทาลีน 9. ถ้าต้องการทำสบู่ควรใช้น้ำมันพืชรวมกับสารใด ก. โซเดียมไฮดรอกไซด์ ข. ไฮโดรคลอริก ค. โพแทสเซยมเปอร์แมงกาเนต ง. ซัลฟิวริก 10. น้ำยาล้างห้องน้ำมีสมบัติอย่างไร ก. เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากสีแดงเป็นสีน้ำเงิน ข. ทำปฏิกิริยากับหินปูนได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ค. เปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสจากสีน้ำเงินเป็นสีแดง ง. ทำปฏิกริยากับแอมโมเนียมไนเตรดจะได้กลิ่นฉุนของแอมโมเนีย จงตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ถ้าต้องการทราบว่าน้ำส้มสายชูที่วางขายตามท้องตลาดนั้นสามารถรับประทานได้หรือไม่จะต้องใช้ สาร ใดทดสอบ...................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................... 2.
กรด Monoprotic แตกตัว 1 ได้แก่ HNO 3, HClO 3, HClO 4, HCN 2. กรด Diprotic แตกตัว 2 ได้แก่ H 2SO 4, H 2CO 3 3. กรดPolyprotic แตกตัว 3 ได้แก่ H 3PO 4 การแตกตัวของกรด Polyprotic แต่ละครั้งจะให้ H + ไม่เท่ากัน แตกครั้งแรกจะแตกได้ดีมาก ค่า Ka สูงมากแต่แตกครั้งต่อ ๆ ไปจะมีค่า Ka ต่ำมาก เพราะประจุลบในไอออนดึงดูด H + ไว้ดังสมการ H 2SO 4 H+ + HSO 4 - Ka 1 = 10 11 HSO 4 - H+ + SO 4 2- Ka 2 = 1. 2 x 10 -2 เนื่องมาจากกรด Polyprotic มักมีค่า K 1 >> K 2 >> K 3 H + ในสารละลายส่วนใหญ่จะได้มาจากการแตกตัวครั้งแรก ถ้าค่า K 1 มากกว่า K 2 =10 3 เท่าขึ้นไปจะพิจารณาค่า pH ของสารละลายกรด Polyprotic ได้จากค่า K 1 เท่านั้น แต่ถ้าค่า K 2 มีค่าไม่ต่ำมาก จะต้องนำค่า K 2 มาพิจารณาด้วย เบส แบ่งตาม จำนวน OH - ในเบส แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ 1. เบสที่มี OH - ตัวเดียว เช่น LiOH NaOH KOH RbOH CsOH 2. เบสที่มี OH - 2 ตัว เช่น Ca(OH) 2 Sr(OH) 2 Ba(OH) 2 3.