แรงดันไฟฟ้าใช้งาน สายไฟฟ้าที่นำมาใช้งานต้องมีขนาดแรงดันใช้งาน ของสายไฟฟ้าสูงกว่าแรงดันไฟฟ้าที่จะนำมาใช้กับสายไฟฟ้า เช่น แรงดันไฟฟ้าใช้งาน 220 โวลท์ ต้องใช้สายไฟฟ้าที่มีขนาดแรงดันใช้งาน 300 โวลท์หรือมากกว่า เป็นต้น 2. กระแสไฟฟ้าใช้งาน สายไฟฟ้าที่นำมาใช้งานต้องมีขนาดกระแสไฟฟ้าใช้งาน ของสายไฟฟ้าสูงกว่ากระแสไฟฟ้าที่จะนำมาใช้กับสายไฟฟ้า เช่น กระแสไฟฟ้าใช้งาน 10 แอมป์ ต้องใช้สายไฟฟ้าที่มีขนาดกระแสไฟฟ้าใช้งาน 15 แอมป์ เป็นต้น 3. ลักษณะงานที่ใช้ เช่น ใช้เดินเกาะติดกับผนังในบ้านควรใช้สายไฟฟ้าชนิด VAF เดินลอยในอากาศ นอกบ้านต้องใช้สายไฟฟ้าชนิด TW หรือ THW ถ้าเดินสายไฟฟ้าฝังลงดิน ควรใช้สายไฟฟ้าชนิด NYY 4. สายไฟฟ้าต้องได้รับการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. ) จากกฎระเบียบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง สาย VAF ( สาย วีเอเอฟ) สาย THW ( สาย ทีเอชดับบลิว) สาย NYY ( สาย เอ็นวายวาย) หลักการเลือกใช้สวิทช์และเต้ารับไฟฟ้า ในวงจรไฟฟ้าจะมีอุปกรณ์ควบคุมการทำงานของวงจรไฟฟ้าก็คือสวิทช์นั่นเอง การเลือกใช้สวิทช์ไฟฟ้าให้เหมาะสมและถูกต้องกับงาน มีวิธีพิจารณาดังนี้ สวิทช์และเต้ารับไฟฟ้าทุกตัวต้องได้รับการรับรองมาตรฐานด้านความปลอดภัยดังนี้ มอก.
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย UL เป็นสถาบันที่จัดตั้งโดยคณะกรรมการประกันอัคคีภัยแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับ เครื่องหมายมาตรฐาน UL ( US) 2. ขนาดแรงดันและกระแสไฟฟ้าใช้งาน สามารถกำหนดขนาดสวิทช์และเต้ารับไฟฟ้าให้สามารถใช้งานได้ เช่น สวิทช์และเต้ารับไฟฟ้ามีขนาดกระแสใช้งาน 3 แอมป์ แรงดันไฟฟ้า 250 โวลท์ เวลานำสวิทช์และเต้ารับไฟฟ้าไปใช้งาน ก็ไม่ควรใช้สวิทช์และเต้ารับไฟฟ้ากับค่าแรงดันและกระแสไฟฟ้ามากเกินขนาดกระแสไฟฟ้าใช้งานที่กำหนด 3. ชนิดของสวิทช์และเต้ารับไฟฟ้า ใช้ตามลักษณะการใช้งานและลักษณะการติดตั้ง ได้แก่ - สวิทช์ทางเดียว สำหรับควบคุมไฟฟ้า 1 จุด - สวิทช์ 3 ทาง ใช้สำหรับควบคุมไฟฟ้า 1 จุด จากจุดควบคุม 2 แห่ง - จำนวนเต้ารับไฟฟ้ากี่รูเสียบ - สวิทช์และเต้ารับไฟฟ้า สำหรับติดลอยบนผนัง - สวิทช์และเต้ารับไฟฟ้า สำหรับฝังในผนัง 4. สภาพแวดล้อมการใช้งาน ได้แก่ ใช้กลางแจ้ง ถูกแดดถูกฝน อยู่ในตัวบ้าน ป้องกันอันตรายจากถูกกระแทกให้แตก ป้องกันเด็กเล่น เป็นต้น - สวิทช์และเต้ารับไฟฟ้าธรรมดา ไม่ต้องกันน้ำ - สวิทช์และเต้ารับไฟฟ้าแบบกันน้ำ 5.
การเดินสายไฟในบ้านแบบเดินลอย การเดินสายไฟในบ้านแบบเดินลอย เป็นการเดินสายไฟบ้านโดยยึดสายไฟให้ติดกับผนังหรือเสาเชื่อมต่อไปยังเต้ารับและเครื่องใช้ไฟฟ้า ข้อดีของการเดินสายไปบ้านแบบนี้คือมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า สามารถตรวจสอบและซ่อมแซมได้ง่ายเพราะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มีข้อเสียคือหากเดินสายไฟบ้านได้ไม่เรียบร้อยจะทำให้ดูไม่สวยงาม โดยเฉพาะหากมีเครื่องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก อาจจะทำให้สายไฟดูรกเต็มผนังบ้านเลยก็ได้ ในปัจจุบันการเดินสายไฟแบบเดินลอยก็มีการร้อยสายไฟผ่านท่อพีวีซีหรือท่อเหล็ก ทำให้ดูเรียบร้อยและสวยงามมากขึ้น 2.
ค้อนเดินสาย ใช้สำหรับตอกตะปู หัวค้อนทำด้วยเหล็กชุบแข็ง หนักประมาณ 100 – 250 กรัม หน้าค้อนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้ามค้อนทำด้วยไม้ การจับค้อนควรจับบริเวณ ปลายด้ามค้อน เพื่อช่วยให้มีแรงตอกมากขึ้น นอกจากนี้ยังใช้กะระยะห่างของเข็มขัดรัดสาย โดยใช้ระยะ 1 หัวค้อนหรือบวกเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยประมาณ 1 – 4 เซนติเมตรตามต้องการ 2. ตลับเมตร ใช้วัดระยะในการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า มีความยาวหลายขนาดให้เลือกใช้ แต่โดยทั่วไปจะใช้ขนาดยาว 2 เมตร เมื่อดึงแถบเทปออกมาจะมีปุ่มสำหรับล็อคเทปไว้ เมื่อคลายปุ่มล็อค เทปจะม้วนกลับโดยอัตโนมัติ การใช้งานห้ามดึงเทปออกมายาวเกินกว่าขีดกำหนด มิฉะนั้นเทปอาจหลุดออกจากตลับหรือไม่สามารถม้วนกลับได้ 3. สว่านไฟฟ้า ควรเป็นแบบกระแทกที่เลือกปรับได้ ทั้งใช้เจาะรูวัสดุทั่วไป เช่น โลหะ ไม้ พลาสติด และเจาะคอนกรีต สว่านบางชนิดยังสามารถปรับความเร็วได้ด้วย 4. บิดหล่า ใช้เจาะรูไม้ก่อนที่จะขันสกรูเกลียวปล่อยเพื่อยึดอุปกรณ์ไฟฟ้า ควรใช้บิดหล่าเจาะรูนำให้มีขนาดเล็กกว่าขนาดสกรู 5. ไขควง ที่ใช้ในงานไฟฟ้า ด้ามจับต้องหุ้มด้วยฉนวนมิดชิด มีทั้งไขควงปากแบน และไขควงปากแฉก นอกจากนี้ควรมีไขควงวัดไฟ เพื่อใช้ตรวจสอบสายไฟว่ามีไฟหรือไม่ และยังใช้ตรวจไฟรั่วของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ด้วย การใช้ไขควงวัดไฟห้ามใช้กับแรงดันที่สูงกว่าค่า ที่ระบุบนด้ามไขควง 6.
ตรวจสอบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ตำแหน่งเต้าเสียบและสวิตซ์ไฟ สวิตซ์พัดลม อยู่ถูกตำแหน่งและอยู่ในสภาพที่ยึดไว้กับผนังอย่างมั่นคง ไม่เอียง 7. ตรวจสอบด้วยการทดสอบการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าว่าสามารถใช้งานได้อย่างปกติ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ขั้นตอนการตรวจการเดินสายไฟบ้านแบบผังผนัง 1. ตรวจชนิดของท่อน้ำว่าเป็นชนิดบางหรือหนาให้ตรงตามมาตรฐานของผู้ออกแบบกำหนด 2. ตรวจดูภายในท่อน้ำ มีตะเข็บมากน้อยเพียงใดว่าจะเป็นอันตรายต่อสายหรือไม่ 3. ตรวจสอบฝีมือการทำงานของช่างในการดัดท่อ ต่อท่อ การยึดท่อ ต้องมีความเรียบร้อย เดินท่อได้ระดับ ท่อต้องยึดได้แข็งแรงไม่ขยับเขยื้อนได้ ถ้างานติดตั้งไม่เรียบร้อย ต้องให้ช่างทำใหม่ 4. ให้ตรวจดูว่าหลังจากเดินท่อน้ำแล้ว ต้องมีการทำความสะอาดก่อนเดินสายไฟ 5. ตรวจการดึงสายไฟ ช่างต้องระวังไม่ให้ฉนวนของสายไฟเสียหาย 6. หลังจากดึงสายไฟเข้าท่อเรียบร้อยแล้ว ข้อต่อต่างๆ ของท่อต้องไม่หลุดออกจากกัน แล้วดูความเรียบร้อยโดยรวม 7.
ท่อสีเหลือง เหมาะสำหรับระบบไฟฟ้าแบบฝังในผนัง ติดตั้งก่อนฉายปูนปิดผิวหน้า ทำให้ได้ผนังเรียบที่ทาสีหรือติดวอลเปเปอร์ได้ โดยมีมาตรฐานการผลิตอุตสาหกรรม เลขที่ มอก. 216-2524 2. ท่อสีขาว เหมาะสำหรับระบบท่อแบบบนผนัง (เดินลอย) นิยมใช้สำหรับงานต่อเติม เนื้อสีขาวเข้ากับผนังห้องทำให้ไม่ต้องทาสีทับ ดัดโค้งได้ถึง 90 องศา ทำให้ประหยัดข้อต่อ และง่ายต่อการเตรียมท่อสำหรับเดินสายไฟ โดยมีมาตรฐานระดับสากล คือ JIS C 8430 (มาตรฐานญี่ปุ่น) และ BS หรือ IEC 61386 (มาตรฐานอังกฤษ) ขั้นตอนการตรวจการเดินสายไฟแบบเดินลอย 1. ตรวจสายไฟฟ้าว่ามีขนาดถูกต้องตามข้อกำหนดของอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือตามที่ระบุไว้ในแบบ และมีสภาพใหม่ เรียบร้อย 2. ตรวจอุปกรณ์ที่ใช้ยึดสายไฟ (เข็มขัดรัดสายไฟฟ้า) ว่ามีความเรียบร้อย มีสภาพใหม่ มีแนวตรง 3. ตรวจสอบวงจรให้ถูกต้องก่อนจะยึดสายไฟติดกับผนัง เพื่อเช็คของมีการเดินต่อไฟถูกต้องและมีไฟฟ้าไหลผ่าน 4. การติดตั้งช่างต้องรีดสายไฟให้ตรงไม่โค้งงอหรือพับ ส่วนการตีเข็มขัดรัดสายไฟ ช่างต้องมีการวัดระยะห่างของตัวรัดให้ห่างเท่าๆ กัน 5. ตรวจดูตามจุดที่มีการหักของสายไฟว่าต้องมีการเก็บสายเรียบร้อย เป็นระเบียบ สายไฟยึดได้สนิทกับผนัง ตัวยึดพับยึดสายไฟได้เรียบร้อย 6.
2 ถ้าเดินบนพื้นปูน 8 – 10 เซนติเมตร 3. ระยะห่างจากเข็มขัดรัดสายก่อนถึงอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าประมาณ 2. 5 – 3 เซนติเมตร 4. ระยะของเข็มขัดรัดสายช่วงหักฉากวัดจากมุมฉากถึงเข็มขัดรัดสาย 2. 5 – 3 เซนติเมตร 5. การงอสายต้องมีรัศมีความโค้งไม่น้อยกว่า 5 เท่าของเส้นผ่าศูนย์กลางของเปลือกนอก เพื่อป้องกันเปลือกนอกของสายชำรุด 6. เมื่อรัดสายแล้ว หัวเข็มขัดรัดสายควรอยู่กึ่งกลางสายเพื่อความสวยงาม 7. ก่อนตอกตะปู ควรหันหัวเข็มขัดรัดสายออกจากผนัง 8. การตอกตะปูยึดเข็มขัดรัดสายที่ชิดมุม ควรใช้เหล็กส่งช่วย 9. สายที่เดินเข้าอุปกรณ์หรือกล่องต่อสาย ควรเผื่อปลายไว้ประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร และให้ฉนวนชั้นนอกเลยเข้าไปในกล่องประมาณ 1 เซนติเมตร 10. สายสีดำใช้เป็นสายมีไฟ (Line) สายสีเทาเป็นสายนิวทรัล ( Neutral) 11. การคลี่สายออกจากม้วนให้คลายออกทีละรอบ ไม่ควรดึงสายออกจากขด เพราะสายจะบิดงอ ยากในการรีดสายให้ตรง 12. ควรตอกตะปูยึดเข็มขัดรัดสายให้เสร็จก่อน แล้วจึงเดินสายไฟทีหลัง 13.
เข็มขัดรัดสายและตะปู ทำด้วยอลูมิเนียมบาง ๆ มีรูตรงกลางสำหรับตอกตะปู ยึดกับผนัง ขนาดเข็มขัดรัดสายตามมาตรฐานจะระบุเป็นเบอร์ คือ เบอร์ 0, 1, 2, 3, 4, 5 และ 6 เข็มขัดรัดสายเบอร์ 0 จะมีขนาดเล็กที่สุด และเบอร์ 6 มีขนาดโตสุด โดยเบอร์ 3 ขึ้นไป จะมีรูสำหรับตอกตะปู 2 รู ในการยึดเข็มขัดรัดสายจะใช้ตะปูขนาดเล็กยาว นิ้ว ตอกยึดกับผนัง ในท้องตลาดปัจจุบันอาจพบเข็มขัดรัดสายที่มีเบอร์ต่างไปจากที่กำหนด แต่ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน การเลือกขนาดเข็มขัดรัดสายให้เหมาะกับสายไฟฟ้า เบอร์ พื้นที่หน้าตัดสาย VAF (ตร. มม. ) จำนวนสาย 0 1 2 3 4 1. 0 1. 5 หรือ 2. 5 1. 0 หรือ 1. 5 2. 5 1 1 1 หรือ 2 2 3 เบอร์ 5, 6 ใช้รัดสายไฟหลายเส้นที่เดินเรียงกันตามความเหมาะสม การเลือกขนาดสายที่ใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ให้พิจารณาจากกระแสของอุปกรณ์นั้น ๆ แต่สำหรับสายที่เดินเข้าหลอดไฟและปลั๊ก ในบ้านพักอาศัยทั่วไปอาจใช้ค่าประมาณ คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าต่อ 1 หน่วยพื้นที่หน้าตัดของสายตัวนำทองแดง (ตร. ) ข้อควรรู้ในการเดินสายไฟฟ้า 1. สายไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ใช้งานเป็นสาย VAF 2 แกนและ 3 แกน (สำหรับระบบที่ติดตั้งสายดิน) 2. ระยะห่างระหว่างเข็มขัดรัดสาย 2. 1 ถ้าเดินบนพื้นไม้ 10 – 12 เซนติเมตร 2.
มีด ใช้สำหรับปอกฉนวนของสายไฟ การปอกสายไฟด้วยมีดควรปอกเฉียง ๆ คล้ายการเหลาดินสอทำมุมไม่เกิน 60 องศา เพื่อไม่ให้คมมีดบาดตัวนำจนขาด 7. คีมรวมหรือคีมผสม ใช้ในงานตัดสายไฟ ตัดลวดเหล็ก ตัดปลายตะปู จับชิ้นงาน คีมปากจิ้งจกหรือคีมปากยาว ใช้ในงานหยิบจับสิ่งของขนาดเล็ก 9. คีมตัด ใช้ตัดสายไฟที่มีและไม่มีฉนวนหุ้ม คีมตัดบางชนิดมีรูเล็ก ๆ สำหรับปอกฉนวนของสายไฟ 10. เหล็กนำศูนย์ ใช้ในการเดินสายบนคอนกรีต โดยใช้เหล็กนำศูนย์ตอกคอนกรีต ให้เป็นหลุมเล็ก ๆ ก่อน แล้วจึงตอกตะปูยึดเข็มขัดรัดสายลงไปจะช่วยให้การตอกตะปูทำได้ง่ายขึ้น อาจใช้ตะปูตอกคอนกรีตเจียรปลายให้เล็กและแหลมแทนการใช้เหล็กนำศูนย์ได้ 11. เหล็กส่ง ทำด้วยเหล็กสกัดปากตัดหรือเหล็กเส้นแบน ยาวประมาณ 7 – 10 เซนติเมตร ใช้ตอกเข็มขัดรัดสายกรณีเดินสายชิดมุมผนัง 12. สกัด ใช้เมื่อต้องการสกัดผนังคอนกรีตเพื่อฝังกล่องสวิทช์หรือปลั๊ก 13. เลื่อย อาจจำเป็นต้องใช้ในการตัดวัสดุ มี 2 แบบ คือ เลื่อยลันดาสำหรับตัดไม้ และเลื่อยตัดเหล็ก 14. มัลติมิเตอร์ ใช้ในการตรวจวัดแรงดันไฟฟ้า ตรวจสอบวงจรและตรวจสภาพ ของอุปกรณ์ไฟฟ้า 15. บักเต้า ใช้ในการตีแนวเส้นก่อนตอกตะปูยึดเข็มขัดรัดสาย ช่วยให้ได้แนวสาย ที่ตรงสวยงาม ภายในบักเต้าประกอบด้วยเส้นด้ายและสีฝุ่น เมื่อดึงเส้นด้ายออกมาทาบกับผนัง หรือเพดานและขึงให้ตึง ณ จุดที่ต้องการ จากนั้นดึงด้ายขึ้นแล้วดีดกลับไปยังผนังก็จะเห็นแนวเส้นตามต้องการ 16.